กลุ่มที่ 2 Skin resurfacing therapy
Ablative laser

เลเซอร์ชนิดนี้เป็นเลเซอร์ที่ทำให้เกิดการลอกผิวชั้นบน ทำให้สามารถนำมาใช้รักษาหลุมสิวได้ ในทางตรงข้าม ถ้าเลเซอร์ใดไม่มีการลอกผิวชั้นบนจะไม่สามารถใช้รักษาหลุมสิว (Non-Ablative laser) วิธีนี้เป็นหลักการในยุคแรกของ Laser resurfacing หลักการทำงานคือทำลายผิวที่เป็นหลุมเป็นบ่อแล้วให้ร่างกายสร้างผิวใหม่ ที่นำมาใช้คือการใช้เลเซอร์จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2 laser) ยิงไปบนผิวทำให้เกิดความร้อนมากกว่า 100 องศาเซลเซียส ผิวบริเวณที่โดนเลเซอร์จะระเหิด (vaporization) และหายไป เรียกว่าเกิดการลอกของผิวชั้นบน (Ablation) ส่วนผิวที่ใต้ต่อการลอกนั้นแม้จะไม่หายไปแต่ก็มีอุณหภูมิสูงจนทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่เกิดขึ้นในเวลาประมาณ 3-6 เดือน โดยสรุปคือ เป็นระบบที่ยิงทั่วๆหน้าเท่าๆกันทำให้ผิวชั้นบนลอกออก และผิวที่ล่างลงมาเกิดความร้อนและกระตุ้นคอลลาเจนใหม่แต่เมื่อนำมาใช้งานจริงพบว่าทำให้ผิวเกิดการดำคล้ำได้มากถึง 30 เปอร์เซนต์ โดยเฉพาะในคนผิวคล้ำ เลเซอร์ CO2 ที่ปัจจุบันนำใช้ยิงอย่างแพร่หลายจะใช้ในการจี้ไฝ กระ ติ่งเนื้อ สิวหิน

การรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์ (Laser)นั้นเป็นกระบวนการรักษาด้วยการยิงลำแสงเลเซอร์ไป
ยังบริเวณหลุมสิวที่ต้องการหรือการลอกชั้นผิวหนังออกทีละชั้น โดยการเลเซอร์จะสามารถปล่อยพลังงานลงไปใต้ชั้นผิวได้ลึกถึง
ระดับที่ต้องการและรักษาหลุมสิวในบริเวณที่เฉพาะเจาะจงได้ดี นอกจากนี้ความร้อน จากแสงเลเซอร์ยังช่วยกระตุ้นให้ใต้ชั้นผิวเกิดการสร้างคอลลาเจน ช่วยในการผลัดและ
สร้างเซลล์ผิวใหม่ รวมถึงซ่อมแซมผิวส่วนที่สึกหรอให้ดีขึ้นได้อีกด้วย ในขณะเดียวกันลักษณะการทำงานของเลเซอร์ที่มีการเผาไหม้ผิวชั้นบนทำให้เกิดรอยดำได้มาก จึงมีการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีอื่นเข้ามาร่วมด้วย ปัจจุบันเลเซอร์ที่นำมาเพื่อใช้แก้ปัญหา
หลุมสิวนั้นไม่ใช่แค่เลเซอร์เท่านั้น ยังมีการนำพลังงานจากคลื่นวิทยุเข้ามาใช้เพื่อรักษาหลุมสิว เพื่ออุดข้อบกพร่องของเลเซอร์ในเรื่องการเกิดรอยดำ ดังนั้นเราจึงรวมเรียกว่า
 “การรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์และคลื่นวิทยุ” เราสามารถเปรียบเทียบคุณสมบัติต่างๆของ
เลเซอร์และคลื่นวิทยุได้ ตามตาราง 1


จากตาราง 1 สามารถสรุปได้ว่าการใช้คลื่นวิทยุเป็นการพัฒนาที่เหนือกว่าเลเซอร์ในการรักษาหลุมสิวเพื่อให้นำพลังงานลงได้ลึกขึ้นและเกิดผลข้างเคียงน้อย เพื่อความเข้าใจจึงขอแบ่งตามวิวัฒนาการจากอดีตถึงปัจจุบัน ตามตาราง 2 ดังนี้


เรียงลำดับวิวัฒนาการการใช้พลังงานจากเครื่องรักษาหลุมสิวจากอดีตถึงปัจจุบัน
ส่วนเลเซอร์สีแดงคือพลังงานที่ลงไป สีส้มคือผิวชั้นบน

1.  เลเซอร์หลุมสิวชนิดมีแผล (Ablative laser) การเลเซอร์หลุมสิวโดยการลอกผิวออกไปทั้งแผ่น มีหลักการทำงานคล้ายกับการปลอกผลไม้ โดยการใช้เลเซอร์จากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ยิงลงไปบนผิวและทำให้เกิดความร้อนสูงมากกว่า 100 องศา ทำให้ผิวบริเวณที่โดนเลเซอร์เกิดการระเหิดและลอกออกทั้งบริเวณ (จากภาพผิวชั้นบนถูกลอกออก) ในขณะเดียวกันผิวชั้นใต้จะเกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ภายในเวลาประมาณ 3-6 เดือน
ข้อดี : หลุมสิวตื้นขึ้นชัดเจน / เกิดการกระตุ้นคอลลาเจนใหม่
เลเซอร์กลุ่มนี้ ได้แก่ CO2 Laser (10600 nm ), ErbiumYAG Laser (2940 nm)

2.  เลเซอร์หลุมสิวชนิดไม่มีแผล (Non-Ablative laser) การเลเซอร์ปรับพื้นผิวและกระตุ้นคอลลาเจนโดยไม่มีการลอกผิวชั้นบน (จากภาพคือมีการการตุ้นคอลลาเจนในโซนสีแดง แต่ไม่มีการลอกผิวชั้นบน) โดยเลเซอร์หลุมสิวชนิดนี้จะเป็นการใช้พลังงานแสงยิงผ่านลงไปในผิวหนังชั้นลึกและเปลี่ยนเป็นความร้อน เพื่อกระตุ้นเกิดสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ แต่เลเซอร์ชนิดนี้จะใช้ความร้อนไม่สูงมาก จึงจำเป็นต้องทำการรักษาหลายครั้งกว่าจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
ข้อดี : ปรับเม็ดสีผิวให้ดูสว่างใสขึ้น / ผลข้างเคียงต่ำ / ไม่เกิดสะเก็ดหรือแผล
เลเซอร์กลุ่มนี้ ได้แก่ Erbium-Glass Laser, Long pulse Nd-YAG Laser, IPL

3.  เลเซอร์หลุมสิวชนิดมีแผลน้อย (Semi-ablative laser) หรือ Fractional Laser เลเซอร์ชนิดนี้จะมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับเลเซอร์ชนิดมีแผล แต่จะแบ่งพลังงานเป็นจุดที่ละเอียดขึ้นทำให้ลงพื้นที่ในการถูกเผาไหม้ลงมาก (จากภาพมีการลอกผิวชั้นบนออกเป็นบริเวณเล็กๆหลายที่ ผิวบางส่วนไม่ถูกลอกออก) ทำให้ใช้เวลาในการสมานแผลน้อยกว่าและมีความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียงน้อยกว่า สามารถใช้รักษาหลุมสิวเฉพาะจุดได้ด้วยการปล่อยคลื่นพลังงานเล็กๆ ลงไปบนตำแหน่งที่ต้องการ จากนั้นคลื่นพลังงานจะเปลี่ยนเป็นความร้อนเข้าไปฟื้นฟูหลุมสิวที่กำหนดและกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวขึ้นมาใหม่ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อเซลล์เนื้อเยื่อข้างเคียงและใช้ระยะเวลาพักฟื้นประมาณ 5-7 วัน
ข้อดี : รักษาได้ตรงจุด / แผลหายเร็วขึ้น /เกิดการกระตุ้นคอลลาเจนได้ดี
เลเซอร์กลุ่มนี้ ได้แก่ Erbium YAG หรือ Fractional CO2

ดังนั้น จากวิวัฒนาการในกลุ่มเลเซอร์ทั้งหมด กลุ่มที่ผลลัพธ์ดี และผลข้างเคียงไม่มากคือ Fractional Ablative ได้แก่ Fractional CO2 และ Fractional Erbium YAG ผลลัพธ์ดีเพราะเป็น Ablative (เผาไหม้ผิวชั้นบน) แต่ผลข้างเคียงน้อยกว่าเพราะเป็น Fractional (ยิงเป็นส่วนๆ) แต่ในทางปฏิบัติยังมีผลข้างเคียงที่พบได้มาก โดยเฉพาะในคนเอเชีย คือรอยดำหลังเลเซอร์ที่พบได้มากใน Fractional CO2 จึงเป็นที่มาของเทคโนโลยีขั้นถัดมาซึ่งเอาคลื่นวิทยุมายิงแบบ Fractional แทน Fractional laser

Fractional radiofrequency

การรักษาด้วยพลังงานคลื่นวิทยุ (Fractional Radiofrequency) เป็นอีก 1 ทางเลือกในการรักษาหลุมสิว Fractional Radiofrequency เรียกสั้นๆว่า “Fractional RF” จัดเป็นคลื่นพลังงานวิทยุความถี่สูงและมีการกระจายพลังงานเป็นส่วนๆ มีคุณสมบัติกระตุ้นการสร้างเซลล์คอลลาเจนใหม่และทำให้ผิวซ่อมแซมตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบดังนี้

แบบไม่มีหัวเข็ม คือ Fractional radiofrequency จะปล่อยพลังงานที่พื้นผิวชั้นบนสุดอย่างเดียว แล้วพลังงานจะเดินทางผ่านผิวลงไป ถ้าอยากให้ลงลึกก็ต้องตั้งพลังงานมากขึ้น ผลที่ตามมาคือผิวชั้นบนร้อนมากเกินไป ทำให้เกิดการเผาไหม้และมีรอยดำได้เช่นกัน แต่น้อยกว่ากลุ่มเลเซอร์
ข้อดี : เกิดรอยดำและผลข้างเคียงน้อย / ใช้พลังงานได้สูงกว่าเลเซอร์ / เหมาะกับผิวคนไทย
เลเซอร์กลุ่มนี้ ได้แก่ E-matrix, Venus viva

แบบมีหัวเข็ม คือ Fractional RF with microneedle พัฒนาเพื่อต้องการให้พลังงานสามารถลงลึกได้มากขึ้นโดยเข็มเป็นตัวนำพลังงานลงไป ทำให้พลังงานลงลึกโดยไม่ต้องใช้ความร้อนที่มากเกินไป หัวยิงจะติดตั้งเข็มขนาดเล็กประมาณ 0.5-3.5 มม. เพื่อเจาะทำลายพังผืดใต้หลุมสิวที่อยู่ลึกถึงชั้นหนังแท้ (Dermis) และปล่อยคลื่นพลังงาน RF ที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนไปพร้อมๆ กัน ดังนั้นการรักษาหลุมสิวด้วยวิธีนี้จะสามารถฟื้นฟูความเสียหายของหลุมสิวได้ดีที่สุดในตอนนี้ ผิวแสบร้อนหรือเกิดปัญหาผิวไหม้ได้น้อยกว่าเลเซอร์ชนิดอื่น โดยใช้เวลาพักฟื้นเพียง 1-3 วันเท่านั้น
ข้อดี : เกิดรอยดำและผลข้างเคียงน้อยมาก ใช้พลังงานน้อยก็ลงได้ลึก นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใต้ผิว ให้ผิวกระชับ ริ้วรอยตื้นขึ้น พร้อมปรับผิวให้เรียบเนียนได้ในครั้งเดียว
เลเซอร์กลุ่มนี้ ได้แก่ Fractora, Vivace, Morpheus8

033

อย่างไรก็ตาม แม้คลื่นวิทยุจะดูเหมือนมีประสิทธิภาพสูงกว่าในการรักษาหลุมสิว แต่เลเซอร์ก็มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อลดผลข้างเคียงเรื่องการเกิดรอยดำ และ การเผาไหม้ที่มากเกินไป ปัจจุบันจึงมีการนำทั้งเลเซอร์และคลื่นวิทยุมาใช้รักษาหลุมสิวอย่างแพร่หลายในประเทศไทย
ภาพรวมประโยชน์ของการรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์และคลื่นวิทยุ
ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวชั้นบนเรียบเนียนและหลุมสิวตื้นขึ้น
กระตุ้นให้เกิดการผลัดเซลล์ผิวเก่าและสร้างเซลล์ผิวใหม่
ลดรอยแผลจากสิวและรอยแผลเป็น
ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นรอบดวงตา
ลดเลือนฝ้า กระ และจุดด่างดำ

เลเซอร์และคลื่นวิทยุรักษาหลุมสิวกี่ครั้งเห็นผล? 
การยิงเลเซอร์หรือคลื่นวิทยุเพื่อรักษาหลุมสิวควรทำหลายครั้งจึงจะเห็นผล โดยส่วนใหญ่ต้องเข้ารับการรักษาอย่างน้อยประมาณ 3-5 ครั้ง จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนแต่ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับการตอบสนองของผิวและระดับปัญหาความรุนแรงของหลุมสิวตามที่แพทย์ประเมิน
การรักษาหลุมสิวเลเซอร์ให้ได้ผลควรได้รับการประเมินสภาพผิวจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อความปลอดภัยและการดูแลผิวอย่างถูกต้องหลังการทำเลเซอร์